day 7 : กังต็อก - ดาร์จีลิง

เราตื่นเช้ากันเช่นเคย นัดคนขับรถให้มารับตอน 7.30 น. พอถึงเวลารถยังไม่โผล่มา ฉันโทรตาม นายขอเลื่อนเป็น 8.00 น. เสียงยังงัวเงียอยู่เลย คงเพิ่งตื่น คนอินเดียไม่ค่อยรักษาเวลา ไม่เคยมาตรงเวลาสักครั้ง เวลานัดก็จะนัด 10 โมงไปโน่น แถมสายอีกประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ระหว่างรอรถ เราเลยเดินออกมาหาของกินกันข้างๆ โรงแรม ที่นี่ร้านรวงไม่ค่อยเปิดกันเช้าๆ ยิ่งเช้ายิ่งเงียบ ยิ่งวันไหนฝนตกไม่ค่อยเห็นชาวบ้านออกมาเดินเพิ่นพ่านตามท้องถนน เงียบจริงๆ ก็ที่นี่อากาศดีน่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ไม่มีใครอยากลุกขึ้นมาเจออากาศหนาวๆ หรอก

เรากินโมโม่ผักกันที่ร้านข้างโรงแรม สั่งจัยคนละแก้ว ซดแก้หนาว สงสัยโมโม่เมื่อคืน หนืดเชียว ไงก็กินกันไปก่อน ค่อยไปกินมื้อเที่ยงที่ดาร์จีลิง

ออกจากร้านโมโม่ เราเจอคนแบกตู้ขึ้นเนิน เป็นเนินที่เราเดินขึ้นเดินลงกันทุกวัน หอบแฮ๊กกันทุกที แต่นายนี่เล่นเดินแบกตู้ขึ้นเนินหน้าตาเฉย ที่นี่จะของเล็กของใหญ่ ใช้หัวน้อยๆ นี่แหละเป็นอวัยวะในการขนของ เอาผ้ามัดเข้ากับของแล้วคาดกับหัว เอามือทั้งสองไคว้หลังไว้ แล้วก็เดินสู่จุดหมาย แม้แต่ตู้เสื้อผ้า ถังแก๊ส ไม้กระดานที่ใช้สร้างบ้าน ใช้หัวทั้งนั้น สรุปว่า คนที่นี่หัวแข็งใช้ได้ทีเดียว

ถนนไปดาร์จีลิงคดเคี้ยวใช้ได้ ต้นไม้เต็มสองข้างทาง ต้นสักยังเยอะมาก คนรักป่าเห็นแล้วน้ำลายสอ มองไปทางไหมก็มีแต่สีเขียวๆ ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าใสๆ มีเมฆปุกปุยก้อนกลมๆ อ้วนๆ ลอยเกะกะเต็มท้องฟ้าไปหมด แสงแดดแรงใช้ได้เลยหล่ะ บางที่เหมือนขับรถขึ้นบันไดวน จนมีความรู้สึกว่า เมื่อไหร่มันจะเลิกวนซะที่ว่ะ? ถึงจะลงมาจากสิกขิม แต่ทางไปดาร์จีลิงยังมีความรู้สึกว่า มันขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ไต่ขึ้นไปจะถึงบ้านพระอินทร์มั๊ยนี่? บางทีต้องลุ้นกัน เจ้ารถเล็กของเราจะขึ้นไหวมั๊ย? ว่าแล้วก็คิดถึงรถจี๊ปที่ลาชุง

สองข้างทางมีแต่ไร่ชา

แวะพักจิบชาระหว่างทาง คนขับจะได้พักรถ เรานึกว่าถึงแล้ว ที่ไหนได้ ต้องนั่งกันอีกเกือบชั่วโมง

ตอนมาเราตกลงกับคนขับรถซื้อทัวร์เที่ยวดาร์จีลิงไปด้วยเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหารถใหม่ เที่ยว 7 ที่ คนขับรถคิด 1200 รูปี

จุดแรกที่แวะคือวัดสไตล์ทิเบต (วัดมีชื่อ แต่จำไม่ได้)

ที่ต่อไปคือ war memorial

ดอกไม้เหมือนบ้านเรา จะถ่ายกันทำไม๊??

วิวเมืองดาร์จีลิง มองจาก war memorial

สถานีรถไฟ toy train รถไฟวิ่งเป็นเวลา รางรถไฟอยู่ในเมือง ตั้งอยู่หน้าบ้าน หน้าร้าน ออกจากบ้านมาก็เจอรางรถไฟเลย ช่วงที่รถไฟไม่วิ่ง รางรถไฟถูกใช้ควบเป็นถนนที่ใช้สัญจรไปมา

โรงเรียนประจำชายล้วน มีนักเรียนไทยประมาณ 10 คน หลักสูตรการเรียนการสอนใช้มาตรฐานอังกฤษ

จุดแวะต่อไปคือ ศูนย์ลี้ภัยสำหรับคนทิเบตที่หนีการรุกรานจากประเทศจีน มาขออาศัยอยู่ในอินเดีย ข้างในมีร้านขายของที่ระลึกเพื่อนำเงินนั้นมาช่วยเหลือคนทิเบตที่อยู่ที่นั่น มีห้องแสดงภาพถ่าย สมัยที่ทิเบตถูกรุกรานและทำร้ายโดยคนจีน มีประวัติบอกเล่าเรื่องราว บางรูปสยอง ไม่อยากดู

แวะไร่ชา เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งของดาร์จีลิง

ดูไปพลางกินเสบียงไปพลาง ก็คนขับไม่ยอมจอดให้เรากินข้าวซะที

มีให้เช่าชุดเก็บชาใส่ถ่ายรูปด้วย มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ที่สอนปีนผา แต่มาตรฐานความปลอดภัยระดับอินเดีย

ทางเข้าสู่ดาร์จีลิง เราเริ่มเห็นวิถีชีวิตคนอินเดียแท้ๆ ที่นี่อีกครั้ง คนเยอะ แออัด คนขับรถบอกว่าเป็นย่านคนจน นายหน้าจะเยอะมาก คอยรุมทึ้งนักท่องเที่ยว เป็นท่ารถด้วย ฉะนั้นคนสัญจรไปมาจะเยอะเป็นพิเศษ เราเริ่มจะไม่ประทับใจกับดาร์จีลิงแล้ว ไม่เป็นอย่างที่คิด แจจอ คนเยอะ รถแยะ กังต็อกดูสงบไปเลย ใครบางคนบ่นอยากกลับลาชุง ไปหาป่าไปหาเขา นั่งนับน้ำตกกันดีกว่า

คนขับรถจองโรงแรมไว้ให้ บอกให้เราแบกเป้หนักๆ ไปโรงแรมเลย เราบอกขอดูห้องก่อน มันบอกถูกใจแน่ เอากระเป๋าไปเลย โรงแรมเดินไม่ไกล แต่เป้หนัก ทำให้รู้สึกว่ามันไกลมากๆ แถมแดดร้อนเปรี้ยง เห็นโรงแรมแล้ว เราอยากถอยหลังกลับ ไม่ถูกใจเรา แพง อับ เก่า เราบอกไม่เอา มันยังคะยั้นคะยอให้เราเอาให้ได้ หรือไม่ก็จะหาโรงแรมใหม่ให้ เราบอกไม่เป็นไร กลับกังต็อกไปเต๊อะ เราจะหากันเอง เราทำกันเองด๊าย ตื๊อแบบนี้จะเอาค่านายหน้าเราละสิ

สลัดตัวหลุดจากคนขับเรา เราหาร้านอาหารกินมื้อเที่ยงกัน ก็จะสี่โมงแล้ว ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย เมื่อเช้าก็กินแค่โมโม่ผัก กินเสบียงเก่าเก็บกันจนจะร้องอู๊ดๆ อยู่แล้ว ทั้งหมูแผ่น หมูทุบ หมูแท่ง ทั้งจากใต้และอีสาน หาร้านนั่งกินได้ ให้พี่แตงกับจอยสั่งข้าวและเฝ้ากระเป๋า ฉันกับจูนออกเดินหาโรงแรม โรงแรมโกโรโกโส อับ สภาพและราคาไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมแพงเวอร์ เริ่มเครียด เที่ยวแบ๊คแพ็ก แต่อยากนอนหรู แพงนิดไม่ว่า ขอสะอาด ปลอดภัย เราเดินวกลับมาแถวร้านอาหารที่กินมื้อเที่ยงกัน ตรงหน้าหอนาฬิกานั่นแหละ ลองเดินขึ้นชั้นสองดู เป็นร้านอาหาร ลองถามที่เคาน์เตอร์ เค้าบอกเป็นโรงแรมด้วย ชื่อ Lunar ขอดูห้อง ห้องถูกใจมากๆ ยังใหม่อยู่ สะอาด สบาย ถามราคา 2400 ฉันต่อขอ 2000 นายไม่ให้ นายบอกว่าราคาเดิม 3600 เออยังไงก็เอา พอรับได้ หารสี่ไม่เท่าไหร่ คิดเป็นเงินไทยยิ่งโอเค เลยใช้เงินดอลที่ติดกระเป๋ากางเกงจูนมัดจำไว้ก่อน กลัวห้องโดนฉก จากนั้นรีบลงไปหาพี่แตงกับจอย รีบขนกระเป๋า เข้าเช็คอิน หลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัว ชมวิวรอบห้องกันเรียบร้อยแล้ว เราออกมาเดินสำรวจดาร์จีลิงกัน

ที่แรกคือร้านชาชื่อดังของดาร์จีลิง เดินตามถนนจากหอนาฬิกาลงมาไม่ไกล เป็นร้านดั้งเดิมของที่นี่

ลุงคนนี้เหมือนในหนังสือที่อ่านมาเดี๊ยะเลย ใจดียิ้มเก่ง ก็จะเอาเงินเรานิ

ที่นี่อากาศแปรปรวนยิ่งกว่าที่กังต็อก เดี๋ยวแดด เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหมอก

ซื้อชาเสร็จ เราเดินวกกลับไปแถวๆ หน้าโรงแรม แวะหาร้านชา นั่งจิบชา ดูผู้คนกัน

ทั้งแดด ทั้งหมอก ทั้งฝน ตะวันตกดินที่ดาร์จีลิง

หลังจากจิบชา กินขนมจนอิ่ม เราเดินดูร้านขายของฝากกัน ร้านเล็กๆ น่ารัก น่าเดินให้เสียตังค์มีเยอะอยู่ ฉันได้ผ้าอินเดียมาสองพับ สมาชิกซื้อชาดาร์จีลิงทั้งที่เป็นกล่องและเป็นห่ออีกเยอะมาก ทั้งซื้อไปกินเอง ฝากเพื่อน ฝากนาย ฝากลูกค้า เห็นแล้วเครียด จะแพ๊กกลับไงนี่?

เราตบท้ายมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารทิเบตใต้โรงแรม สั่งอาหารที่นี่ต้องสั่งแค่ครึ่งเดียว คือมาสี่สั่งสอง เพราะจานใหญ่มากๆ อย่าคิดสั่งสี่เชียวนา กระเพาะใหญ่แค่ไหนก็กินไม่หมด ขนาดฝรั่งตัวโตโต๊ะข้างๆ เห็นอาหารที่ออร์เดอร์แล้วยังร้องจ๊าก อาหารที่นี่เค็มไปนิดแต่รสชาติอร่อยใช้ได้ ทริปนี้ยังไม่มีใครบ่นเลยว่าอาหารไม่ถูกปาก

chocolate lassi ช็อกปั่น

กินเสร็จ สมาชิกอยากซื้อชาเพิ่ม เราเดินย่อยอาหารกลับไปร้านเดิม แวะแลกตังค์ร้านข้างๆ เรทโอเค ไม่ดีเท่าที่ sudder street แต่ก็รับได้

ชาที่นี่แบ่งเกรดตามฤดูกาล และไร่ชา จ้าวไหนมีชื่อก็แพงหน่อย ฉันซื้อ summer มา ลองชิมดูแล้ว รสชาติอร่อยดี

กลับห้อง เริ่มเครียด ตรูจะขนกลับยังไง? ขนชากลับยังไม่พอ ยังขนถุงกระดาษของที่ร้านไปอีกพับนึง จอยบอก ตอนเอาไปแจกลูกค้าจะได้ดูดี

ผ้าอินเดีย กระเป๋าอินเดีย ชาอินเดีย ของฝาก ของฉัน ของเพื่อน ของลูกค้า ของนาย

ก่อนขึ้นห้อง เราเดินหารถที่จะไป tiger hill กันพรุ่งนี้เช้า ได้รถเล็กเหมือนตอนขามาจากกังต็อก 700 รูปี ราคาแพงกว่าในหนังสือ แต่ลองถามที่เคาน์เตอร์โรงแรมดู ราคาประมาณนี้แหละ โปรแกรมพรุ่งนี้เช้า เราจะตื่นกันตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง เพื่อจะไป tiger hill กัน นัดรถไว้ตอนตี 4 หน้าโรงแรม

No comments:

Post a Comment