day 4 : กังต็อก - ลาชุง

วันนี้เก็บเป้ เช็คเอ๊าท์ จะไปลาชุงกัน ชิวๆ ไม่รีบ ทัวร์นัด 10 โมง เก็บเป้เสร็จ เราออกไปหาของกินกันที่ M.G. Marg.. อากาศข้างนอกหนาวเช่นเคย แถมมีฝนตกปรอยๆ เมื่อคืนจอยร้องร่ำขอกะฟ้าดิน ว่าอย่าตกเลย ขอเถ๊อะ ขอให้เราเที่ยวอย่างสบายๆ ตื่นเช้ามาได้ยินเสียงฝนเปาะแปะ แต่ตกยังไงก็จะไป



เมื่อวานเล็งไว้ร้านนึง เปิดแต่เช้า มีแขกมากินเรื่อยๆ วันนี้คนไทยจะบุก! สั่งไม่เป็นหรอก ชี้ๆ เอา เห็นตรงข้างๆ กินไร ถ้าดูน่ากิน บอกเด็กเสริ์ฟ เอาเหมือนโต๊ะนั้น ก็ได้กินเหมือนกัน



กินอาหารเช้าแบบแขกๆ เสร็จ เดินกลับโรงแรมกัน ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ กลับขึ้นห้อง เขียนไดอารี่ ทัวร์นัด 10 โมง 10.30 ก็แล้ว ยังไม่โผล่หัวมา ฉันโทรตาม มาถึงจริงๆ ก็ 11 โมง ลามะทัวร์ไม่ได้ไปเอง แต่ส่งต่อให้ทัวร์ข้างๆ โรงแรม ตอนเดินหาทัวร์กับจูน ทำไมไม่เห็นบริษัททัวร์อันนี้นะ อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก


ใช้เวลาระหว่างรอให้เป็นประโยชน์ ใครสะดวกทำอะไรก็ทำไป


ทัวร์ให้เรานั่งรถกะป๊อ ไปขึ้นรถจี๊บที่ jeep stand ฝนตกพร่ำๆ หนาวจริงๆ วันนี้งัดเอาแจ๊กเก็ตตัวใหญ่มาใส่ ตัวเล็กคงจะเอาไม่อยู่ หลังจากที่ทัวร์ขนของขึ้นรถเสร็จ สั่งให้เราขึ้นประจำที่ เห็นหน้าคนขับ ป้าแตง เริ่มวี๊ดวิ่วทันที หนุ่มน้อยหน้ามน น่าตาน่ารักเชียว อายุคงประมาณ 24-25 (เดาเอา)

พอรถเริ่มออกจากกังต็อก ฉันหันไปถามคนขับรถว่าพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า หนุ่มน้อยตอบคำเดียวสั้นๆ "NO" แล้วตรูจะถามใคร? ถ้าอยากรู้อะไร ตอนที่ตกลงกันมันบอกมีไกด์นี่หว่า ไกด์ก็ไม่มี คนขับรถก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หนุกแน่ ฉันเลยรีบโทรศัพท์ไปถามลามะทัวร์ เจ๊ใหญ่ที่ลามะบอกฉันว่า ทริปนี้ไม่ต้องใช้ไกด์ก็ได้ ..โดนหลอกอีกแล้วตรู.. ไม่มีก็ไม่มีว่ะ

ระหว่างทางป้าๆ ทั้งหลาย หัวเราะกันครื้นเครง ทั้งแซว ทั้งแทะโลมหนุ่มน้อยนักขับของเรา ขับรถดีกว่าคนที่ขับมาส่งเราจากสถานีรถไฟเสียอีก ดูท่าใจเย็นมากๆ นุ่มนวลกับทุกหลุม ไม่เปรี้ยวเหมือนคันโน้น นั่งค่อยวางใจหน่อย

ทางหวาดเสียวน่าดู เป็นหลุม เป็นบ่อ แถมฝนตก หมอกหนาตลอดทาง โคลนทั้งนั้น หน้าผาปริ่มๆ ไม่อยากมองออกนอกหน้าต่าง เสียว น้ำตกเยอะมาก บางช่วงขับรถลุยน้ำตกกัน หนุกหนาดีจัง ลืมเสียวไปได้บ้าง


ขับรถผ่านสะพาน เห็นธงเป็นริ้วๆ สีสดได้ใจ ฉันขอคนขับรถลงไปถ่ายรูป หนุ่มน้อยจอดให้เราลงกลางสะพาน มีรถคันอื่นตามมา บีบแตรดังลั่น หนุ่มไม่สน พอเราลงกันหมด หนุ่มขับไปรอที่หัวสะพานอีกฟากนึง



ระหว่างทาง เจอกะป๊อติดหล่ม เรานั่งลุ้นกันในรถจี๊บ เจ้าหนุ่มน้อยนั่งเงียบ รู้น่า ลุ้นอยู่เหมือนกัน



ข้างทางวิวสวย ยังไม่มีใครออกอาการเมารถ หรือ มีอาการแพ้ความสูง เตรียมยากันมาพร้อม แต่ยังไม่อยากใช้



จุดแรกที่หยุดคือ Seven Sister Waterfall หยุดให้ถ่ายรูปและเข้าห้องน้ำ

ณ จุดนี้ ไกด์โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาแนะนำตัวว่าเป็นไกด์ของพวกเรา เจ้าหนุ่มนักขับดูหน้าชื่น เหมือนมีพวก ไม่ต้องโดนป้าๆ จากเมืองไทยแทะโลมมากนัก



ไกด์ชื่อ ดีเจน อายุ 22 ปี เป็นไกด์ฟรีแลนซ์ ได้ไกด์ ฉันเริ่มยิงคำถาม เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว คนขับชื่อไร? อายุเท่าไหร่? นายชื่อโชดะ อายุ 18 ปี เอาแล้วป้า จะติดคุกอินเดียโดนข้อหาพรากผู้เยาว์มั๊ยนี่?? ดีเจนเล่าให้ฟังว่า โชดะเป็นลามะ เรียนหนังสืออยู่ที่วัดแถวบ้าน ช่วงหน้าเทศกาล โชดะออกมาช่วยพี่ชายขับรถ หมดหน้าเทศกาล โชดะกลับไปเรียนหนังสือต่อ ที่นี่เค้าทำกันอย่างนี้ ระหว่างทางที่ไป โชดะหยุดทักเพื่อนๆ นักขับตลอดทาง บางคนก็เป็นลามะเหมือนโชดะ

ให้มันได้อย่างนั้นสิป้า ชอบเด็กอายุน้อยกว่ากัน 18 ปีไม่พอ แถมเป็นเณรน้อยอีกต่างๆ หาก บาปจะกินหัวเอา ฉันบอกดีเจนว่าเรากำลังแทะโลมลามะน้อยอยู่ จะเกี้ยวให้ป้าแตง แต่ป้าอย่าเผลอ ป้าเจ้ยกะป้าจอยรอเสียบอยู่ โรงแรมที่เราจะไปนอนเป็นบ้านของลามะน้อย ป้าๆ นอนกันข้างล่าง ส่วนลามะนอนข้างบน

ระหว่างทางนอกเหนือจากแทะโลมลามะ เราหยุดลงถ่ายรูปกับเป็นพักๆ วิวที่นี่เหมือนกับ ซาปาบวกบาหลี ทุ่งนากับน้ำตกแถมหมอกหนาวตลอดทาง สวยจริงๆ


น้ำตก น้ำตก น้ำตก ถ่ายจนเลิกถ่าย เพราะเยอะมาก มีเป็นร้อย โค้งเลิกนับไปนานแล้ว ส่วนภูเขาบอกไม่ถูกว่ามากจากลูกไหนแล้วจะไปลูกไหน เยอะจริงๆ



ข้าทำได้ ที่ไหนข้าก็โดดได้ ขออย่างเดียว อย่าให้เมารถ หรือเป็นโรคแพ้ความสูง เค้าบอกคนเป็นโรคแพ้ความสูงจะกินไม่ได้ สบายใจได้ เรากินกันตลอดทาง มีของเข้าปากให้เคี้ยวตลอดเวลา แถมยังซื้อถั่วข้างทางมาตุนไว้อีก


โดดกันขนาดนั้น อายลามะน้อยมั๊ยนั่น??

ถึงจุดตรวจจุดแรก permit ที่ทัวร์ทำไว้จะได้ใช้เสียที ระหว่างที่ลามะน้อยเข้าไปจัดการเรื่อง permit เราแยกย้ายกันเข้าห้องน้ำ น้ำก็กินไม่เยอะแล้วนะ แต่อากาศมันเย็นอ่ะ ปวดบ่อยมาก


ขับมาได้สักพัก เริ่มมืด เข้าเขตหมู่บ้าน โชดะจอดรถเติมน้ำมัน พวกเราแวะหาของกิน ดูซิ แถวนี้มีอะไรขายมั่ง?


เราถึงบ้านโชดะมืดแล้ว มองข้างทางไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ไฟสลัวๆ ตามบ้าน ลงจากรถ โดนอากาศหนาวอุณหภูมิเกือบติดลบลอดผ่านเสื้อกันหนาวเข้าจับหัวใจ เย็นจับจิตจับใจจริงๆ เรายืนสั่นสะท้านระหว่างรอให้พี่สาวโชดะมาช่วยเปิดประตูให้ พอได้เข้าห้อง รู้สึกดีขึ้นหน่อย ไม่หนาวสะท้านเหมือนอยู่ข้างนอก

เข้าห้องสักพัก ดีเจนยกชานมร้อนๆ มาเสริ์ฟ บอกว่าถ้าอาหารมื้อเย็นเสร็จ จะลงมาเรียก เราจัดการกับกระเป๋าเสร็จ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเค้าจะทำอะไรให้เรากิน เราตัดสินใจเดินขึ้นบ้าน บุกครัวบ้านโชดะ


ครัวเล็กแต่น่ารักมาก ฉันเดินสำรวจรอบๆ ถ่ายรูป ทำความรู้จักกับเจ้าของบ้าน ทั้งนอเซ็น พี่สาวของโชดะ และแม่ของโชดะ เจ้าโชดะเห็นเราบุกครัว รีบกระดกชาแล้วเดินออกจากห้องเฉย (อยู่ให้กำลังใจป้าหน่อยไม่ได้หรือไง?)


อันนี้เป็นเนยจามรี แข็ง มัน ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ไว้เคี้ยวเล่น ที่นี้ของเคี้ยวเล่นแข็งทั้งนั้น แม้แต่เม็ดข้าวโพดที่ทำเองก็แข็ง เอาไว้เคี้ยวเล่นเหมือนกัน เหมือนเคี้ยวมะขามคั่วบ้านเรานั่นแหละ


เดินสำรวจตู้ ป้าแตงเหลือบไปเห็นบัคคะดี้ขวดเหลืองอำพัน (คอนวิ๊นซ์ว่าไม่มีในบ้านเรา) แสดงความหยากให้เจ้าบ้านเห็น นอเซิน เลยเปิดตู้ แงะฝาออก เทแจกทุกคน (ยกเว้นจูน)

ถ่ายรูปกับแม่โชดะ เชื่อมสัมพันธ์ไว้ก่อน เผื่อป้ามาเป็นสะใภ้บ้านนี้

นอเซินใจดี ให้เราลองใส่ชุดของชาวสิกขิม



ผ้าผูกเอวที่เป็นลายขวาง ไว้สำหรับคนที่แต่งงานแล้วเท่านั้น แต่เราสาวโสดไม่สน อยากใส่ให้ครบชุด


ได้เวลาอาหารเย็น เรากินจนอิ่ม แถมด้วยปลาร้า หมูแผ่น น้ำพริกที่พกมาจากเมืองไทย อร่อยพุงกางไปตามๆ กัน จากนั้นเราลาเจ้าบ้าน เข้าห้องแปรงฟันนอน คืนนี้ไม่มีใครอาบน้ำกัน คิดว่าเช้าก็คงไม่ ขนาดแปรงฟัน เหมือนเอาน้ำแช่น้ำแข็งมาแปรง น้ำเย็นมากๆ เข้าห้องน้ำก็ต้องใส่รองเท้า เหยียบพื้นไม่ได้ เหมือนยืนบนน้ำแข็ง เรานอนกันอึดอัดพอดู เพราะใส่เข้าไปหลายชั้น อึดอัดก็ยอม ก็มันหนาวโคตรๆ ฮีตเตอร์ไม่มี ฝาบ้านก็เป็นไม่กระดานบางๆ จะรอดมั๊ยตรูคืนนี้?


No comments:

Post a Comment