day 1 : กรุงเทพฯ - กัลกัตตา - นิวจาลไปกูริ

แบ๊กแพ๊กเกอร์เตรียมตัวไปสนามบิน เช้าวันแรก หน้าตายังสดใสกันอยู่ เป้ยังไม่หนัก แบกได้สบาย



รอเช็คอินที่เคาน์เตอร์เจ็ท แต่พนักงานการบินไทยรับเช็คอิน แถวยาวไปนิ๊ด แขกกลับบ้านขนจอแอลซีดีกลับกันเยอะมาก เฉลี่ยประมาณ 1 คน 1 จอ ลองถามตอนไปถึงที่โน่น เค้าบอกว่าซื้อบ้านเราถูกกว่า คุณภาพดีกว่า เอ๊าขนกันเข้าป๊ะ ไม่เฉพาะจอแอลซีดีนะ เสื้อผ้าก็เยอะ เสื้อกันหนาว เสื้อยืด ขนกันเป็นลังๆ



ได้ขึ้นเครื่องแล้ว ขอพนักงานให้จัดที่นั่งแถวเดียวกัน แบ่งกันนั่งฟากละ 2 คน แต่ต้องนั่งตรงประตูฉุกเฉินนะ ขึ้นไปก็หลับได้เลยไม่ต้องรอสัญญาณให้ปรับเก้าอี้ (เพราะปรับไม่ได้) นั่งเชิ่ดตัวตรง กรุงเทพฯ - กัลกัตต้าตลอด 2.5 ชั่วโมง



มีหนังให้ดูด้วย แถมเช็คระยะทางได้อีก (หางแดงมีมั๊ย?)



บินได้ประมาณครึ่งชั่วโมง แอร์เริ่มเสริ์ฟอาหาร แต่ทำไมแถวตรูช้าจังนิ? รถเข็นมาทางหัวกะท้าย เรานั่งกันกลางๆ ลำ เลยได้อาหารทีหลัง แขกข้างหน้ากินกันอิ่ม ดูหนังกันสบายใจเฉิบแล้ว ส่วนเรายังนั่งนับแถวอยู่เลย หิว หิว หิว



ตอนนี้อาหารชาติไหนก็กินได้ อาหารแขกก็กินด๊าย ตอนจองตั๋วเลือกเป็น non-veg ไม่เหม็นเครื่องแกง กินหมดทุกอย่าง แต่โยเกริ์ตเปรี้ยวไปหน่อย



นั่งดูหนังยังไม่ทันจบเรื่อง กัปตันประกาศ ตอนนี้เรากำลังบินอยู่เหนือกัลกัตต้า ด้วยอุณหภูมิ 30 องศา! ถ้าอินเดียเหนือไม่หนาวอย่างที่คิด ... แย่แน่ตรู... เสื้อแต่ละตัวแบกมาหนาๆ ทั้งน้าน



ตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่ต้องรอนาน เจ้าหน้าที่เยอะ ผู้โดยสารน้อย แป๊บเดียวผ่าน



เล็งร้านกาแฟร้านนี้ไว้ ขากลับจะมานั่งมองแขกก่อนกลับบ้าน มีเคาน์เตอร์แลกตังค์ด้วย เรทโอเค แต่เราแลกไว้แค่เข้าเมือง ค่อยไปหาเอาที่ Sudder street



เราเดินเข็นกระเป๋าออกนอกอาคาร ให้พี่แตงกับจอยเฝ้ากระเป๋า ฉันกับจูนเดินหาแท๊กซี่ หวังจะได้แท๊กซี่ราคาถูก เช็คมาราคาประมาณ 250 รูปี เข้าเมืองเหมาทั้งคัน แต่ข้างนอกมันเรียกเราตั้ง 600 ต่อให้เหลือ 200 มันมองหน้าแบบโกรธๆ บอกว่า ฟิกซ์ไพรซ์ ฟิกซ์ไพรซ์ ไม่เชื่อหรอก อย่ามาหลอกกันตั้งแต่วันแรก ยืนหันหน้าหันหลังกันสองคนพี่น้องหน้าอาคารผู้โดยสาร เดินไปเดินมาเอาไงดีตรู? มันให้ราคาต่ำสุดก็ 400 เยอะไป รับไม่ได้ หันไปถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถามว่าราคาแท๊กซี่เข้าเมืองประมาณเท่าไหร่ เค้าบอก 240 รูปี แล้วหาแถวไหนหล่ะนาย? --ในสนามบินไง๊-- เหรอ? ไม่เห็นนิ-- เข้าไปดูใหม่ข้างในมี-- จูนกะฉันเลยย้อนเดินเข้าไปในตัวอาคารอีกรอบ มันอยู่ติดกับเคาน์เตอร์แลกเงินเลย มองไม่เห็นตั้งแต่แรก หรือว่าเราคิดว่ามันแพงเลยไม่ใส่ใจ -- ไปที่เคาน์เตอร์ บอกชื่อ จ่ายเงิน รับใบเสร็จ แล้วออกไปเดินหาคิวแท๊กซี่อีกที...


พอเริ่มเข้าเมืองปุ๊บ ทำให้นึกถึงเวียดนาม บีบแตรกันสนั่นเมือง ขับรถเลนไหนก็ได้ ขอให้ตรูได้ไป ดับเครื่องเวลาติดไฟแดง ไฟเขียวขึ้นก็สตาร์ทรถใหม่ เป็นกันทั้งเมือง ฝุ่นก็เยอะ แดดร้อน เหนียวตัว (แล้วมากันทำไม?) แต่เราเตรียมพร้อมเสมอ..



ขนาดเส้นทางรถราง แท๊กซี่ยังวิ่งคร่อมได้เลย กัลกัตตายังมีรถรางวิ่งให้เห็นอยู่ ส่วนใหญ่จะใจกลางเมือง มีรถไฟใต้ดินด้วย เห็นแต่ทางลงยังไม่ได้ลอง เห็นเค้าว่าสะอาดใช้ได้อยู่ (แต่วันก่อนกลับเมืองไทย มีข่าวไฟดับในรถไฟใต้ดิน คงวุ่นกันน่าดู!)



ตอนแรกเราวางแผนกันว่า จะนั่งรถบัสนอนขึ้นเหนือกัน เลยบอกคนขับรถให้ไปส่งที่ขนส่ง ให้พี่แตงกับจอยรออยู่ที่รถ ให้คนขับรถรอด้วย ขี้เกียจขนเป้หลายรอบ ดูในหนังสือ สภาพรรถก็พอรับได้ แต่พอไปเห็นสถานที่จริงเท่านั้น ถอดใจ สยอง ทำไงว่ะตรู รถไฟก็ไม่ได้จอง ทำไมมันซำเหมาเช่นนี้ หันไปทางไหนก็เห็นแต่รถสถาพเก่าเก็บเข้ากรุเมื่อประมาณสัก 20 ปีที่แล้ว เดินหาตั๋วกันสองคนจูนตามเคาน์เตอร์ไม่มีเลย มีก็ตั๋วผี แพงโคตร รับไม่ได้ เดินกลับรถ เปลี่ยนแผน ไป Sudder street แล้วกัน ไปหาเอเจนซี่ให้จองตั๋วรถไฟให้ คนขายตั๋วผีมันบอกไม่มีหร๊อกตั๋วหน่ะ มันเป็นหน้าเทศกาล คนขึ้นเหนือกันเยอะ (ก็มรึงเล่นเอาไปกำกันไว้โก่งราคาหมดแล้ว แล้วจะเหลือถึงตรูได้อย่างไร??) เราไม่รู้ด้วยนิ ว่าเป็นช่วงหน้าเทศกาลของคนเนปาลี เค้าหอบลูกหอบเต้ากลับบ้านกันก็เยอะ ไปเที่ยวกันก็เยอะ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นเทศกาลอะไร เราให้แท๊กซี่ไปส่งที่ sudder street แท๊กซี่คิดเพิ่มอีก 200 รูปี ก็ให้เค้าไป ค่าเสียเวลารอ เวลาเราจ่ายตังค์ เราจะคิดกันว่าหารสี่ไม่แพง เรารับได้ เค้าอยู่ได้ ไม่ฟันกันเลือดซิบๆ ก็ให้เค้าไปเต๊อะ


Sudder Street ถนนข้าวสารของกัลกัตต้า



ฉันให้แท๊กซี่จอดหน้าโรงแรม Hotel Diplomat กะจะเช่าสัก 2-3 ชั่วโมง ระหว่างรอจองตั๋วรถไฟ ถามหาเอเจนซี่ที่โรงแรม เค้าไปเรียกเอเจนซี่ข้างๆ โรงแรมมาให้ หลังจากนั้นก็ย้ายก้นตามเอเจนซี่ไปนั่งในออฟฟิสแคบๆ เราปักหลักกันอยู่ที่นั่น แจ้งความประสงค์ว่ายังไงคืนนี้เราต้องได้ตั๋วรถไฟ คนที่จองตั๋วให้ชื่อทาริก ทาริกบอกฉันว่า รถเต็มทุกขบวน เพราะเป็นช่วงเทศกาล (ไม่เอา ไม่อยากฟัง หามาให้ด๊าย เร็วๆ ) ฉันไม่เชื่อขอย้ายก้นไปนั่งข้างๆ ขอดูตอนที่เจ้าทาริกหาทีนอนบนรถไฟให้เรา เกือบชั่วโมงแล้วยังไม่มีวี่แวว แต่เราปักหลักกันที่นั่น ไม่ไปไหน จนกว่าจะได้ตั๋ว ... มั่นคง แน่วแน่จริงๆ..



พี่แตงกะจอยเริ่มหิวแล้ว เห็นแขกยืนผัดข้าวตรงรถเข็นในซอยตรงข้าม เดินออกไปเมียงมองดู ชั่งใจ กินดีมั๊ยว้า? หิวก็หิว สกปรก ท้องเสียก็กลัว แต่ท้องมันร้องอะ? ไม่เป็นไร ใช้ไฟร้อนๆ ผัดกันเห็นๆ กินของสุกใหม่ๆ คงไม่เป็นไร ลองดูสักกล่องดีมั๊ย? คอนวิ๊นซ์กันสุดฤทธิ์ พี่แตงกะจอยยืนชั่งใจสักพักนึง ในที่สุดก็เดินกลับเข้าออฟฟิสทาริกพร้อมข้าวผัดไข่ร้อนๆ หนึ่งกล่อง 20 รูปี ถูกแถมเยอะอีกต่างหาก แง๊ะหมูแผ่นออกมากินกะข้าวผัด อืมมม อร่อย จากกล่องนึง เพิ่มเป็นสองกล่อง กินกันตรงนั้นแหละ เจ้าทาริกก็หาตั๋วไป ออฟฟิสนี้ข้าจอง แง๊ะหมูออกมากินหน้าตาเฉย เพิ่งรู้ทีหลังว่าเจ้าทาริกเป็นมุสลิม!



หลังจากลองมาหลายขบวนเราก็ได้ตั๋วรถไฟ เย้!!!! แพงกว่าราคาปกติ มีชาร์จ จ่ายใต้โต๊ะ แต่ราคายังรับได้ แถมยังถูกกว่ารถทัวร์ คอนเฟริ์มสอง เวทลิสท์สอง เอาก็เอาว่ะ เตียงน้อยๆ นอนกันสองคน จ่ายสี่ที่ได้นอนกันสองที่ ทางเลือกสุดท้ายหน้าเทศกาล ดีกว่าเสียเวลา 1 คืน นอนกัลกัตต้า เราต้องจ่ายค่าตั๋วให้ทาริก เพื่อให้เค้าไปซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟ ไม่มีใบเสร็จ เสี่ยงอย่างเดียว เลยถ่ายรูปเก็บไว้ ที่นี่ส่วนใหญ่จะเขียนไว้หลังนามบัตรใช้แทนใบเสร็จ เอาไว้เป็นการยืนยัน นามบัตรก็ได้ แต่ฉันขอถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย ทาริกบอกอีกหนึ่งชั่วโมงมารับตั๋ว

จัดการเรื่องตั๋วรถไฟเสร็จ เราเข้าเช็คอินโรงแรม Hotel Diplomat เข้าประมาณ 4 โมงเย็น เอ๊าท์ออกตอน 3 ทุ่ม 300 รูปี (พัดลม) เราเข้าห้องอาบน้ำสระผม แล้วออกมาเดินเล่นแถวๆ Sudder street ก่อนไปแวะบอกเจ้าทาริกให้จองตั๋วขากลับให้ด้วยเลย เห็นว่าพอไว้ใจได้ และไม่อยากเสี่ยงไปหาเอเจนซี่เอาข้างหน้า ตาดีได้ตาร้ายเสียจริงๆ อันนี้มันอยู่ที่ดวงกะเขี้ยว ลากดินซะหน่อย เสียรู้น้อยหน่อย

เราตกลงใจแลกเงินกับทาริกไปให้เสร็จ เห็นว่าเรทดี ดีกว่าที่สนามบินอีก กะเอาว่าจะใช้เท่าไหร่พอ แลกไปให้เสร็จ ไม่ต้องไปหาแลกเอาข้างหน้า ยิ่งสูงยิ่งแพง


แถวๆ Sudder Street จอยเล็งผับนี้ไว้ กะไว้วันกลับจะมาลองดู ผับกะโบสถ์อยู่ใกล้กันแค่หัวมุมถนน


จอยเดินหาอะไรลองไปเรื่อย

มีร้านเบเกอรี่อยู่ใกล้ๆ ยืนกินกันในร้าน ส่วนใหญ่ร้านที่นี่จะมีพื้นที่ให้ยืนกิน เพราะพื้นที่น้อยมากๆ ใช้ทุกตารางเมตรได้อย่างคุ้มค่า

โค้ก ไม่ซ่าเหมือนที่เมืองไทย หวานไปนิ๊ด


ร้านหนังสือเยอะมากๆ ทั้งมือหนึ่งและมือสอง ถูก แถมต่อได้อีก (อยากให้หาดใหญ่มียังงี้บ้างจัง!!) ไก่ร้านนี้ก็อร่อย กรอบดี


สามทุ่มครึ่ง ทาริกนัดเราไปสถานีรถไฟกัน (จ้างนะไม่ได้ขอให้ไปเป็นเพื่อน) ทีแรกก็สองจิตสองใจว่าอย่าจ้างเลย ไปกันเองดีกว่า แต่เสียค่าตั๋วไปแล้ว ขอเพิ่มความแน่ใจอีกนิดว่ามีที่นอนจริงๆ เราเลยจ้างเจ้าทาริก 600 รูปี พร้อมค่าแท๊กซี่ไปส่งให้ถึงเตียงนอน พอถึงสถานีรถไฟ เรารู้แล้วว่าเราคิดถูกที่จ้างเจ้าทาริก แขกเป็นหนอนเลย ทั้งนั่ง ยืน เดิน นอน รอรถไฟ เห็นแล้ว เฮ้ย..ถ้ามาเองตรูจะหาขบวนถูกมั๊ยนี่? เจ้าทาริกเดินหาตู้นอนให้พวกเราเหมือนหลับตาหา ตรงทางขึ้นมีกระดาษแปะรายชื่อผู้โดยสารไว้ด้วย ฉันแวะเข้าไปดู เออมีนามสกุลตรูกะน้อง เชื่อใจได้ เรามีที่นอนแล้ว สองที่นอนสี่ไม่มีปัญหา ขอให้ได้ออกจากกัลกัตตาคืนนี้เป็นพอ หลังจากหาที่เจอ เจ้าทาริกร่ำลา บอกถ้ามีปัญหาให้โทรหาแล้วกัน


ฉันกะจูนนอนเตียงบน ส่วนพี่แตงกะจอยนอนเตียงล่าง เป้สอดไว้ใต้เตียงข้างล่าง เป้ใบเล็กผลัดกันนอนกอด เป้ใบใหญ่จอยนอนเอาขาพาดไว้ ขาไปได้เตียงสองชั้น ขากลับได้สามชั้น คงจะมันส์น่าดูเน๊อะ


ขึ้นเตียงก็นอนกันอย่างเดียว เวลาขยับตัว ต้องสามัคคี ขยับพร้อมกัน

ไนท์ กัลกัตต้า